เรื่องราวและเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นประสบการณ์ตรงที่คุณเอกได้พบเจอมาด้วยตัวเอง เรื่องราวทั้งหมดก็มีอยู่ว่า เอกทำงานอยู่ที่ โรงแรมแห่งหนึ่งในพัทยา รร.ที่เอกทำงานอยู่นั้นค่อนข้างมีชื่อเสียงตั้งอยู่ในพัทยาใต้ รร.แห่งนี้มีห้องพักกว่า 200 ห้อง โดยแบ่งออกเป็น 2 ตึก ตึกหนึ่งมี 10 ชั้น เรียกว่าตึกใหม่ ส่วนอีกตึกมีทั้งหมด 4 ชั้น เรียกกันว่าตึกเก่า มีสระว่ายน้ำคั่นอยู่กลางระหว่าง 2 ตึก บริเวณโดยรอบมีต้นไม้ ใหญ่น้อยถูกปลูกเอาไว้แบบแนวรีสอร์ท ในช่วงเวลากลางวันก็ดูสวยดีอยู่หรอก เพียงแต่ว่าตกกลางคืนเรียกได้ว่าตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง มันจะดูวังเวงมาก เวลามองผ่านๆต้นไม้และเงาเหล่านั้นมันเหมือนกับคนรูปร่างสูงใหญ่ยืนโบกมือไปมาเมื่อมีลมพัดยามกลางคืน ในส่วนงานของเอกเดือนนี้เอกจะต้องอยู่กะกลางคืน โดยเริ่มงานเวลา 5 ทุ่มไปสิ้นสุดที่เวลา 8 โมงเช้า ในช่วงเวลานั้นเอกจะต้องรับผิดชอบหลายอย่าง เนื่องจากงานกะนี้จะมีพนักงานทั้งหมด 10 คน โดยทั้งหมดจะมีส่วนของรีเซพชั่น 3 คน เชฟ 1 คน รูมเซอร์วิส 1 คน สจ๊วต 1 คน Security อีก 3 คน รวมทั้งเอกก็เป็น 10 คนพอดี และด้วยเหตุนี้เอง เอกจึงมีหน้าที่เป็นทั้งเบลบอย มินิบาร์ พนักงานเกี่ยวกับห้องพัก รวมไปถึงต้องเดินตรวจตราตามจุดต่างๆด้วยการช่วย Security และเรื่องมันก็เกิดขึ้น
ในคืนนั้นหลังจากที่เอกทานข้าวเสร็จแล้วเวลาก็ล่วงเลยไปประมาณตี 3 กว่าๆ เอกจึงเริ่มตรวจตราช่วย รปภ.เหมือนอย่างเคย เหตุการณ์ก็ดูเหมือนจะปกติดี จนกระทั่งมีลูกค้าห้องหนึ่งบนชั้น 6 โทรลงมาบอกว่าต้องการน้ำดื่มเพิ่ม 2-3 ขวด เอกจึงเตรียมน้ำดื่มให้ลูกค้า แล้วก็เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าลิฟท์ พนักงานแล้วกดปุ่มเรียกลิฟท์ ลิฟท์ก็ค่อยๆเคลื่อนตัวลงมาช้าๆทีละชั้น ทีละชั้น จนมาถึงชั้นที่เอกยืนอยู่ ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดออกก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เอกกำลังจะก้าวเท้าเข้าไป เอกสังเกตุเห็นไฟในลิฟท์นั้นติดๆดับๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก คิดแค่ว่าหลอดไฟคงจะเสียอีกแล้ว เอกอยู่ในลิฟท์ทั้งๆแบบนั้น ก็คือไฟกระพริบติดๆดับๆตลอดเวลา มันก็ทำให้เอกนึกถึงเรื่องที่เคยได้ยินมา และก็น่าจะลืมไปแล้วนั่นคือลิฟท์ที่เอกกำลังอาศัยอยู่ในเวลานี้มันเป็นลิฟท์ที่เคยขนศพลูกค้าที่เสียชีวิตลงมา ตอนนั้นก็คิดแต่ว่า ตายสิ มานึกถึงเรื่องอะไรตอนนี้ มองดูตัวเลขที่ลิฟท์กำลังเคลื่อนผ่านไปทีละชั้น ทีละชั้น ในความรู้สึกตอนนั้นมันดูช้าเหลือเกิน เอกรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ได้ยินแต่เสียงลมหายใจของตัวเองดังฟืดฟาดจนน่ารำคาญ ไฟที่กำลังกระพริบอยู่ก็สว่างพรึ่บขึ้นมา แต่ว่ามันก็ไม่ได้ช่วยให้เอกดีขึ้น ตรงกันข้ามมันกลับทำให้เอกรู้สึกเหมือนกับว่าไม่ได้อยู่คนเดียวภายในลิฟท์ ราวกับว่าตอนนี้มีคนอาศัยลิฟท์มากับเอกด้วย เอกหันขวับไปมองด้านหลังแต่ก็ไม่มีอะไร สงสัยเอกจะคิดไปเอง พอมาถึงที่ชั้น 6 ห้องที่ลูกค้าขอน้ำดื่มนั้นอยู่ห่างออกไปห้องท้ายๆตรงทางเดินที่ทอดยาว เอกรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติแต่ก็ไม่กล้าจะหันกลับไปมองลิฟท์ที่พึ่งก้าวเท้าออกมา เอกเดินไปเรื่อยๆ ผ่านห้องแล้วห้องเล่า จู่ๆไฟทางเดินก็ดับไล่หลังมาทีละดวง ทีละดวง เหมือนในหนัง มันไม่ปกติแล้ว เนื่องจากระบบไฟนั้นเป็นแบบไทเมอร์ ก็คือตั้งเวลา ไม่มีทางที่มันจะดับทีละดวงได้ ถ้าเกิดขัดข้องมันต้องดับทั้งหมดพร้อมกัน คิดได้แค่นั้นเอกแทบคุมสติไม่อยู่ รีบเดินให้เร็วขึ้น ไฟยังคงไล่ดับตามหลังมา เอกจึงตัดสินใจวิ่งอย่างเร็วโดยที่ไม่หันหลังกลับไปมอง พอมาถึงห้องของลูกค้าเอกก็เคาะห้องราวกับคนเสียสติ ตึง ตึง ตึง ตึง!! ในวินาทีนั้นเอกไม่ได้คิดว่าลูกค้าจะว่าหรือคอมเพลนแต่อย่างใด คิดอยู่อย่างเดียวว่ารีบทำให้เสร็จๆ จะได้รีบไป จากชั้นนี้ และก็โชคดีที่ลูกค้านั้นเปิดประตูออกมารับน้ำโดยไม่มีท่าทีโวยวายแต่อย่างใด เอกจึงรีบยื่นขวดน้ำดื่มให้แล้วก็รีบวิ่งลงบันได ที่อยู่ตรงกันข้ามกับทางที่เอกมา
นับว่าโชคยังเข้าข้างที่ไฟทางเดินตรงบันไดนั้นไม่ได้ดับไปด้วย ไม่งั้นเอกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไง เอกวิ่งลงไปถึงชั้นล่าง ด้วยอาการเหนื่อยหอบ นั่งพักอยู่ครู่หนึ่ง ก็เลยโทรไปแจ้งงานกับโอเปอเรเตอร์ว่ามีลูกค้าที่ห้องนี้ อยู่ชั้น 6 ได้ทำการขอน้ำดื่มเพิ่ม 2-3 ขวด โดยที่เอกก็ไม่ได้เล่าเรื่องที่พึ่งจะเจอมา แต่แล้วสิ่งที่โอเปอเรเตอร์ตอบกลับมาทำให้เอกถึงกับเข่าอ่อน นั่นก็คือห้องพักที่เอกบอก ว่าลูกค้าขอน้ำดื่มนั้นจริงๆแล้วไม่ได้มีลูกค้ามาเช็คอินเลย "ไม่มีใครพักอยู่นะ เอกแน่ใจนะว่าห้องนั้น" แล้วโอเปอเรเตอร์ก็พูดอะไรต่ออีก แต่ว่าเอกจับใจความไม่ได้ซะแล้ว หัวสมองมันตื้อ หูตาอื้ออึงไปหมด ไม่มีลูกค้า แล้วใครที่เป็นคนขอน้ำดื่ม? เหตุการณ์ที่พึ่งจะเจอมา มันเกี่ยวข้องกับอะไรรึเปล่า ทุกวันนี้เอกยังคงทำงานอยู่ที่โรงแรมแห่งนี้ แต่ก็พยายามเลี่ยงงานที่ชั้น 6 ถ้าเกิดมีอะไรคืบหน้า จะนำมาเล่า ให้ฟังกันใหม่ เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงเพียงเท่านี้
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 9 ปีที่ผ่านมา ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในภาคใต้ เรื่องมีอยู่ว่า ผมได้พบกับเจ้าของโรงแรม ที่ผับแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ซึ่งตอนนั้นผมทำงานอยู่ที่นั่น โดยเจ้าของโรงแรมและพี่เจ้าของร้านที่ผมทำงานอยู่รู้จักกัน เจ้าของโรงแรมเขาต้องการทีมงานเกี่ยวกับวงดนตรีประเภทโฟล์คซอง และทีมงานเกี่ยวกับงานโรงแรม เกือบทุกแผนก แต่ต้องอยู่ทำงานในเวลากลางคืนเท่านั้น พี่เจ้าของร้านจึงแนะนำให้ผมรู้จักกับเจ้าของโรงแรม โดยเขามีข้อเสนอที่น่าสนใจให้กับผม ถ้าผมหาทีมงานลงไปทำงานให้เขาได้ ส่วนพี่เจ้าของร้านก็ยินดีให้ผมไป ถ้าผมหาทีมงานได้ (ก็ได้แค่คิดในใจว่าทำไมให้ไปง่ายจัง)
ผมก็หาทีมงานได้ทั้งหมด 14 คน โดยแบ่งเป็นนักดนตรี 4 คน ส่วนคนที่เหลือก็จะเป็นพวกแม่บ้าน เด็กหิ้วกระเป๋า เฝ้าล็อบบี้ ครบทุกตำแหน่ง โดยทั้ง 14 คนนี้ จะได้ทำงานในกะกลางคืน โดยเจ้าของโรงแรมให้เหตุผลว่า ไม่ต้องการให้โรงแรมเงียบ ส่วนเรื่องเงินเดือน เรียกมาได้เลยไม่เกี่ยง หลังจากตกลงเรื่องเงินเดือนเรียบร้อยแล้ว เจ้าของโรงแรมก็ จองตั๋วเครื่องบินให้กับทีมงานของผม ทั้ง 14 คน จากนั้นเราทั้ง 14 คน ก็เดินทางไปที่โรงแรมแห่งนั้น โดยออกเดินทางเวลา 3 ทุ่ม แล้วก็ถึงโรงแรมประมาณ 5 ทุ่ม และผมก็ได้กุญแจจากพี่ยามที่เฝ้าอยู่หน้าโรงแรม พี่ยามบอกผมว่า ห้องพักพนักงานอยู่ด้านหลังนะ ผมกับทีมงานนอนกันห้องละ 2 คน ทั้งหมด 7 ห้อง สภาพห้องนอนดีมาก จนทุกคนรู้สึกดีใจมาก ที่ได้งานนี้ และก็มีผู้จัดการมาบอกว่าให้พักก่อน ไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยงานกัน
และเรื่องราวทั้งหมดก็ได้เริ่มต้นขึ้น โดยพวกเราทั้ง 14 คน อยู่ที่นั่นได้ 21 วัน ซึ่งเป็น 21 วัน ที่อยู่ด้วยความหวาดระแวง ความกลัว ความสงสัย เพราะเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น โดยผมขับรถไปดูรอบๆโรงแรม ผลปรากฏว่า บริเวณรอบๆ ไม่มีชุมชน ไม่มีบ้านคนอยู่เลย ในรัศมี 2 กิโล รอบๆเป็นป่าทั้งหมด ก็รู้สึกแปลกๆนะ แต่ไม่คิดอะไรมาก จนกระทั้งมาพบกับเหตุการณ์ น้องทีมงานหายไปหนึ่งคน หายไปจากโรงแรม พวกเราก็ช่วยกันตามหา คิดว่าน้องอาจเดินหลงไปหลังโรงแรมก็เป็นได้ ผมกับน้องอีกคน (น้องเจ) ก็เดินเข้าไปที่ด้านหลังโรงแรม
ซึ่งด้านหลังจะมี ลักษณะก็จะคล้ายๆ Pool Villa แต่ว่าตำแหน่งของบ้านมองดูสะเปะสะปะไปหมด และที่น่าตกใจก็คือสระว่ายน้ำทุกสระเป็นตะไคร่ขึ้นหมดทุกสระ ระหว่างทางก็จะมีห้องฟิตเนสแต่ประตูล็อคอยู่ และก็มีสปาที่มีสระวน มีศาลา อยู่ 5 ศาลา แล้วก็มี เกาะกลาง ที่มีสะพานข้ามไปได้ โดยผมและเจ พบน้องที่หายไปนอนอยู่ตรงนั้น ผมก็รีบเข้าไปปลุก ว่ามานอนอะไรตรงนี้ น้องบอกว่า มีผู้หญิง มาเรียกให้ช่วยหน่อย ผมก็เดินตามเขามา จนพี่มาเรียกนี่แหละ ผมก็รีบพาน้องออกมา แต่กว่าจะออกมาได้ก็หลงอยู่พักหนึ่ง (พวกผมก็คิดกันว่า น้อย มันหลงไปได้ยังไง ใครกันแน่มาตามมันไป)
คืนต่อมาน้องที่ทำงานแผนกแม่บ้านก็ฝันว่ามีผู้หญิงมาบอกว่า ให้ไปเอาเขาขึ้นมาหน่อย หนูอยู่บ้านหลังสุดด้านหลังตรงโน่นเลย หนูอยู่ตรงใต้ต้นไผ่ หน้าบ้านมีรูปปั้นหมาขาวดำอยู่ จากนั้นผมกับเจ ก็เดินเข้าไปที่ด้านหลังโรงแรมอีกรอบ แล้วก็พบบ้านที่น้องแม่บ้านบอกจริงๆ และผมก็รู้สึกว่าหรือมันจะมีอะไรอยู่ใต้ดินนี้ แต่ด้วยบรรยากาศที่น่าขนลุก ผมก็บอกเจว่าไปกันเถอะบรรยากาศไม่ค่อยดีละ
คืนนี้เป็นคืนที่5 ที่พวกเราอยู่ที่โรงแรมนั้น มีน้องผู้หญิงที่เป็นบริกร ได้ยินเสียงคนทะเลาะกัน แล้วก็มีเสียงเหมือนคนใช้ขวดตีกันจนแตก เป็นเสียงผู้ชายกับผู้หญิงทะเลาะกัน แต่ว่าเสียงเถียงกันนั้นไม่ใช่เสียงภาษาไทย ดังมาจากด้านหลังโรงแรม ตอนเช้าผมก็ถาม แม่ครัวที่อยู่กะกลางวัน ว่ามีคนงานพักอยู่หลังโรงแรมไหม ป้าก็บอกว่าไม่มีนะ ช่วงกลางคืนก็มีแต่พวกเรานั่นแหละที่อยู่ที่นี่ (แล้วใครมันทะเลาะกัน)
จนมาถึงคืนที่ 6 เอาล่ะทีนี้ได้ยินกันครบทั้ง 7 ห้องเลยครับ พวกเราก็เปิดประตูออกมาดู ตอนตี 3 พากันเดินหาเสียง แต่ก็พบว่า ตึกแถวคนงานที่เกิดเสียงนั้นไม่มีคนอยู่ แถมยังล็อคอีกด้วย แต่เสียงนั้นยังคงอยู่ จนกระทั้งน้องๆคนอื่นเริ่มกลัว ผมก็เลยรีบออกมาจากตรงนั้น และระหว่างนั้นก็มีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นอีก คือได้ยินเสียงเด็กมาขอเล่นน้ำด้วย แต่มองไปก็ไม่เห็นใครสักคน
และคืนนี้ก็เป็นคืนที่ 10 น้องผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านหายไป หายังไงก็ไม่เจอ หายไปตลอดทั้งคืน คอยจนเช้าเพื่อรอให้แม่บ้านกะเช้าเข้ามา ผมก็รีบเข้าไปบอกแกว่า ป้าครับ ลูกน้องผมหายไป ป้าก็บอกว่าลองไปหาที่บ้านหลังสีส้มดูสิ เดินไปเหอะมีอยู่หลังเดียว ผมและคนอื่นๆประมาณ 6-7 คนก็เดินไปและก็พบว่าน้องแม่บ้านอยู่ในบ้านหลังสีส้มนั้นจริงๆ แต่ประตูมันล็อคไว้ ผมก็เลยพังประตูเข้าไป เข้าประตูไป น้องก็หลับอยู่ ผมก็ปลุกจนตื่น น้องบอกว่ามีผู้หญิงให้มาอยู่เป็นเพื่อนหน่อย เขาอยู่คนเดียว เขาเหงา แล้วหนูก็เดินตามเขามา จนมารู้สึกตัวอีกที่ตอนพวกพี่มาปลุกนี่แหละ
จากนั้นทั้ง 14 คนก็มานั่งคุยกันว่ากลับดีไหม เจ้าของโรงแรมก็ไม่มาเลย ยิ่งอยู่ๆไปเราจะเป็นอะไรกันไหม ช่วงกลางคืนก็จะมีเด็กมาเคาะกระจกทุกห้องเลย และก็หัวเราะด้วย จนกระทั่งนอนกันไม่ได้ และทุกคืนวันพฤหัสก็จะมีเสียงคู่สามีภรรยาประเทศเพื่อนบ้านทะเลาะกัน ช่วงนี้ทุกคนหลอนกันไปหมดเลย ไม่รู้จะทำอย่างไร
จนกระทั่งในที่สุดที่อยู่ไม่ได้จริง ก็คือราววันที่ 17-18 ก็มีน้องคนนึงหายไป เป็นน้องผู้ชาย น้องคนนี้เป็นเด็กถือกระเป๋า หาไม่พบเหมือนเดิม ผมก็ไปถามป้าแม่บ้านอีก ว่าน้องผมหายไปอีกแล้ว ป้าถามว่าผู้หญิงหรือผู้ชายล่ะ ผมก็บอกว่าผู้ชาย ป้าแม่บ้านก็บอกให้ไปดูที่ห้องฟิตเนส ซึ่งป้าแกรู้หมดเลย ถ้าหากผู้หญิงหายจะไปอยู่ที่ห้องสีส้ม ผู้ชายหายจะไปอยู่ในห้องฟิตเนส ซึ่งผมจำได้ว่าห้องฟิตเนสมันล็อคน้องจะเข้าไปได้ยังไง แต่สุดท้ายผมก็ไปเจอน้องที่นั่น ซึ่งสภาพน้องผมในตอนนั้นแขนหักข้างนึง (แขนซ้าย) ผมก็ไม่ได้ถามอะไร รีบพาน้องไปหาหมอก่อน
พอน้องตื่นก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น น้องเล่าว่า ผมเจอผู้ชายพูดว่า มาช่วยเขายกของหน่อย ผมก็เดินตามออกไปด้วยเพราะอะไรไม่รู้ แล้วสิ่งสุดท้ายก่อนจะแขนหักคือ เขาโยนดัมเบลล์ใส่ เขาบอกอ่ะ ช่วยรับไอนี่หน่อย แล้วใครมันจะรับไหว จังหวะนั้น น้องก็รับ 2 มือ แต่ว่าด้วยความที่มันหนักมาก ทำให้แขนข้างซ้ายของน้องมันหัก และจากนั้นก็หลับไปเลย มารู้ตัวอีกทีก็ในตอนที่แขนเข้าเฝือกเป็นที่เรียบร้อย
จนกระทั้งวันที่ 21 ผมและทีมงานก็ตัดสินใจกลับ แต่ก่อนกลับก็ไปถามป้าแม่บ้าน ป้าแม่บ้านบอกว่าสิ้นเดือนนี้ป้าก็จะลาออกเหมือนกัน เพราะต่อไปนี้คงไม่มีใครมาทำงานกะกลางคืนที่นี่อีกแล้ว ผมก็ถามว่าเด็กที่สไลด์เดอร์เป็นใคร ป้าเอาหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นให้ดูพบว่ามีเด็กหลุดโค้งสไลด์เดอร์ตกลงมากระแทกพื้นเสียชีวิต แล้วห้องฟิตเนสล่ะป้า ป้าบอกมีคนงานไปออกกำลังกายช่วงค่ำ ตอนนั้นยังสร้างโรงแรมไม่เสร็จ เขานอนยกบาร์เบลล์ แล้วไม่รู้ยังไงบาร์เบลล์ร่วงมาทับที่คอจนคอหัก แล้วผู้หญิงที่มาเข้าฝันล่ะ เขามาขอให้ไปช่วย ป้าก็เล่าต่อว่าระหว่างที่กำลังสร้าง เขาก็เร่งให้โรงแรมเสร็จเร็วๆผู้หญิงคนนี้ก็หน้ามืด นอนตายอยู่ที่บ้านหลังสุดท้ายข้างหลังนั้นที่บ้านสีส้มหละ ป้าก็บอกว่า เป็นพนักงานสปา ถูกลูกค้าบีบคอ ส่วนทุกๆวันพฤหัสที่จะได้ยินเสียงคนทะเลาะกัน ก็คือ คนงานทะเลาะกัน เป็นคู่รักกัน เอามีดแทงกัน เอาขวดตีกันตาย พอถามไปถามมาก็ได้ทราบว่า ครึ่งนึงของพื้นที่เป็นกุโบร์เก่าหรือสุสานของอิสลาม แล้วไปสร้างโรงแรมทับไว้
ต่อจากนั้นผมก็โทรหาเจ้าของโรงแรม เจ้าของโรงแรมก็ถามว่า อยู่ไม่ได้ใช่มั๊ย อย่าว่าแต่เราเลย พี่ยังไม่กล้าเข้าเลย ผมก็ถามว่า แล้วพี่ให้พวกเรามาเนี่ยนะ เจ้าของก็เล่าว่า จริงๆพี่ประกาศขายแต่ก็ไม่มีใครมาซื้อ และตลอด 20 -21 วันที่ผมและทีมงานไปทำงานที่โรงแรมนี้ ก็ไม่พบลูกค้าที่เข้ามาพักเลยแม้กระทั่งคนเดียว และในปัจจุบันนี้ โรงแรมแห่งนี้ เป็นโรงแรมร้างและยังคงประกาศขายอยู่ แต่ว่าก็ยังไม่มีใครมาซื้อตลอดระยะเวลา 9 ปี
ครั้งนั้นเราไปเที่ยวกับเพื่อน จองที่พักเป็นแบบบังกะโลริมหาด โรงแรมนี้สวยมากอยู่ห่างจากจุดชมวิวเล็กน้อย หากขับรถไม่สังเกตจะไม่รู้เลยว่ามีที่พักสวยอยู่ด้านล่าง ป้ายบอกชื่อโรงแรมเล็กนิดเดียว โรงแรมนี้ไม่มีหาดทรายแบบที่จะสามารถลงน้ำได้ เหมือนอีกฝั่ง หาดทรายเป็นหาดหิน และเปิดออกสู่ทะเลลึก รอบแนวชายหาดเป็นป่าโกงกาง เราจึงไปเที่ยวชมวิวกัน กินอาหาร และโต๋เต๋กันไปแบบชิวๆไม่รีบร้อนแล้วจึงแวะเข้าที่พัก ขับรถข้ามสะพานปากน้ำแขมหนูเราจะสามารถมองเห็นโรงแรมได้ ยิ่งค่ำยิ่งสวย เราขับรถลงเขาเพื่อลงที่พักตอนนั้นราวๆทุ่มนึง แจ้งความประสงค์และรับกุญแจห้องมา ที่พักเราเป็นบ้านพักสร้างติดกันยกพื้นสูง หันหน้าหาชายหาด ห้องเราและเพื่อนถ้าไขกุญแจเข้าห้องแล้ว สามารถเดินมาที่ระเบียง คุยกัน ชมวิวทะเลได้ (ห้องติดกัน) ด้านล่างเป็นชายหาด มีต้นไม้และมีชิงช้าห้อยลงมา เดาว่าตอนเช้าวิวน่าจะสวยมาก
เราเข้าห้องมาก็ล็อคกุญแจประตู จัดของ แล้วเปิดประตูกระจกบานเลื่อนออกมายืนชมวิว มันไม่มีอะไรให้ดูหรอกมืดตื๋อ เพื่อนก็ออกมายืนสูบบุหรี่ คุยกันสักพักก็แยกย้ายเข้าห้อง แต่.... ประตูกระจกบานเลื่อนมันล็อค!! คือมันล็อคเอง ล๊อคได้ยังไง? เราเข้าห้องไม่ได้!! เพราะล๊อคประตูหน้าไปแล้ว กุญแจยังมองเห็นเลยว่าแปะอยู่หัวเตียง เพื่อนต้องโทรไปตามแม่บ้านมาเปิดประตูหน้าให้เรา แม่บ้านมาด้วยอาการรีบร้อน ไม่สบตาเราเลยแม้แต่น้อย แทนที่จะถามเรื่องประตูกระจก แต่ก็ไม่ถามอะไร เธอรีบไขกุญแจแล้วจ้ำพรวดๆกลับทันที เราเข้าห้องมาก็เดินดิ่งไปดูที่ประตูบานเลื่อนทันทีว่า มันล๊อคเองได้ยังไง เราเริ่มตะหงิดใจเล็กๆกับห้องนี้แล้ว!!! แต่ตัดสินใจว่าไปอาบน้ำก่อน ถ้าในห้องน้ำมันยังมีปัญหาอีกแปลว่า อะไรก็ตามที่อยู่ตรงนี้มันไม่อยากให้เรานอนห้องนี้ แล้วก็เป็นไปตามที่คิด เครื่องทำน้ำอุ่นไม่ทำงาน เราอาบน้ำไม่ได้ ช่างก็มาซ่อม แล้วก็บอกเราว่าคุณย้ายห้องเถอะครับ เดี๋ยวทางแม่บ้านจะพาไป (แอบคิดในใจว่าห้องนี้ต้องมีอะไรแน่ๆ) แต่ก็ช่างเถอะ เพราะห้องใหม่เป็นห้อง VIP มีอ่างจากุชชี่ส่วนตัวแบบ open air ห้องใหญ่มาก จากนั้นเราได้สอบถามไปยังแผนกต้อนรับเพื่อยืนยันว่าห้องที่เปลี่ยนให้นี่ถูกต้องรึไม่เพราะ กะด้วยตาห้องนี้ไม่ใช่ห้องในราคาที่จองมาแน่นอน ทางพนักงานยืนยันว่าเปลี่ยนให้โดยไม่ต้องเพิ่มเงิน เราก็... คือดีงามสิคะ แต่สิ่งที่รอเราอยู่ในคืนนั้นไม่ใช่เรื่องดีงามเสียแล้ว …
คืนนั้น นอนดูทีวีไปเรื่อยๆ จนง่วงน่าจะใกล้เที่ยงคืนเราก็ปิดทีวี ปิดไฟ เปิดไฟช่องเล็กตรงหน้าประตูห้องน้ำ กำลังเคลิ้มๆหูได้ยินเสียงหวีดแหลมดังก้องมาก คือข้างๆห้องที่เรานอนเป็นแนวเขา ถนนอยู่ด้านบน ถ้าออกมายืนนอกห้องจะได้ยินเสียงรถแล่นผ่านนานๆครั้ง แนวถนนเส้นนี้มืดมาก เรียกว่า มืดสนิทก็ได้ เราได้ยินเสียงหวีดร้องนี้แบบนานมาก มันโหยหวนชวนขนลุก สักพักเราได้ยินเสียงคนเดินย่ำกรวดมาตามถนน (ความเงียบทำให้เราสามารถได้ยินเสียงเดินชัดเจนมาก) เสียงเดินย่ำกรวดวนเวียนอยู่ทางหน้าห้อง เลาะเรื่อยไปทางด้านข้าง แล้ววนกลับมาหยุดที่หน้าประตูห้องเรา ต่อจากนั้นก็เริ่มขูดประตูห้อง เสียงขูดเหมือนคนเอาเล็บ หรือ กิ่งไม้ มาขูดที่ประตู เรานอนคิดว่า เอาไงดี จะลุกไปเปิดประตูออกไปดูดีมั้ย แต่ถ้ามันไม่ใช่ผีแต่เป็นคนร้ายล่ะ เราได้แต่นอนฟัง แล้วก็คิดโมโหในใจว่า มันจงใจให้เรามานอนตรงนี้คนเดียวเพราะมันรู้ว่าจะเกิดเรื่องนี้รึเปล่า คิดวนเวียนจนหลับไปพร้อมกับเสียงแหกปาก เสียงเดินวน เสียงขูดประตู
พอถึงตอนเช้าเราตื่นมาอย่างแรกที่ทำคือ ไปดูหน้าประตูห้อง เสียงที่มันขูดขนาดนั้นประตูน่าจะมีรอยบ้างละนะ แต่ไม่มีอะไรเลย ไอ้ที่คิดเอาไว้ว่าจะไปวีนกับโรงแรมเราก็เลยต้องนิ่ง แต่ตอนไปคืนกุญแจ พนักงานไม่สบตาเราเลย ถามเราแบบไม่มองหน้าว่า หลับสบายมั๊ยคะ ... อึมม ... เราก็ค่ะ สบ๊ายยยสบาย แต่เธอไม่สบตาเราอยู่ดี ... ช่างมันเถอะ คิดเสียว่า ฟังเพลงโอเปร่าภาษาต่างชาติที่ไม่รู้เรื่องแถมมีระบบสั่นสะเทือนไปด้วยก็แล้วกัน สวัสดีค่ะ... #END
แม้ว่าโรงแรมส่วนใหญ่ ก็จะมีวิธีป้องกันเรื่องแขกหนีค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการให้ชำระเต็มจำนวนเมื่อ check in บางโรงแรมอาจมีวางมัดจำเป็นเงินสด เงินต่างประเทศ หรือกันวงเงินบนบัตรเครดิต เพื่อเป็นเงินประกันสำหรับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเข้าพัก รวมไปถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ นอกเหนือจากค่าห้องพัก เช่นค่าอาหาร ค่าซักรีด เป็นต้น และถึงแม้จะมีการขอมัดจำแล้วแต่ก็ยังไม่วายเจอปัญหากันอีกอยู่ดี
เรื่องมีอยู่ว่า คืนนั้นผมเข้ากะดึกพอดี ก็เจอเลยครับ เจอจริงๆเจอจังๆ เมื่อเวลาเที่ยงคืน กว่าๆ ก็ได้รับแจ้งจากแขกว่ามีห้องข้างๆส่งเสียงดังรบกวน ให้ขึ้นไปตรวจสอบให้หน่อย เมื่อผมได้รับเรื่องก็พาพนักงานขึ้นไปด้วยอีก1คน แต่ยังไม่ทันจะเคาะประตูห้องเลย ประตูห้องก็ถูกเปิดออกมาพอดี แล้วก็ได้พบแขก (แขกจริง ๆ ตัวเบ้อเริ่มเลย) เดินออกมาพอดีพร้อมกับกระเป๋าสัมภาระและทำหน้าตกใจ
ผมก็แจ้งลูกค้าไปว่าได้รับแจ้งมาว่า มีเสียงดังรบกวนแขกท่านอื่นออกมาจากห้องของคุณ ไม่ทราบว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น หรือคุณต้องการความช่วยเหลือไหม แขกก็ตอบมาว่าฉันต้องการ check out เดี๋ยวนี้ แล้วก็รีบเดินออกไป ผมก็เอะใจขึ้นมาทันทีว่าต้องเกิดเรื่องแน่ๆ (โดนแล้วล่ะ คืนนี้ตูโดนแล้วล่ะ) เลยให้พนักงานรีบเข้าไปดูในห้องว่าเกิดอะไรผิดปรกติไหม และสิ่งที่พนักงานพบก็คือ แขกทำพื้นลามิเนตในห้องไหม้ คิ้วขอบพื้นไหม้ บัวผนังไหม้ สายไฟโต๊ะหัวเตียงขาด และยังทำที่แขวนสายชำระหัก
จากนั้นผมก็รีบวิ่งตามแขกลงไปที่หน้าเคาน์เตอร์ และแจ้งให้ทุกแผนกทราบว่ามีแขกทำห้องพักเสียหายแล้วทำท่าเหมือนจะหนี จากนั้นพนักงานที่เข้ากะเดียวกัน ก็มาออกันอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ ประมาณ 3-4 คน รวมทั้งพี่ รปภ.ด้วย และก็มีการต่อรองกันอยู่นาน (เพราะแขกจะไม่ยอมจ่ายค่าเสียหาย บ่นต่อว่าพวกคุณทำผมเสียเวลา ผมมีธุระต้องรีบไป) ต่อรองไป ก็กลัวไป กลัวแขกต่อยหน้า เพราะแขกตัวใหญ่มากกกกกกกกกกก
ไอ้ครั้นจะปล่อยให้หนีก็คงไม่ได้ จะให้สู้คงไม่ไหว สุดท้ายแขกก็ต้องยอมจ่ายค่าเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้น เพราะถ้าไม่ยอมทางเราก็คงต้องแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่สุดท้ายเรื่องคืนนั้นก็ผ่านมาได้ด้วยดีมั้ง 555
พนักงานโรงแรมส่วนใหญ่ก็จะมีการทำงานแบบวนกะ เช้า บ่าย ดึก สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป และในที่สุดก็มาถึงเวลาของเรา เวลาที่เราต้องเข้ากะดึก
ล่าสุด ประมาณตี 3 ตอนนั้นเงียบมากเพราะลูกค้าหลับหมด เรานั่งอยู่ข้างล่างเคาน์เตอร์คนเดียวตอนนั้นเราง่วงนอนมากแล้วเผลอวูบไปแป๊ปนึงแต่พอตื่นมาก็เจอลูกโป่งประมาณ 10 กว่าลูกสีเขียวมัดติดกันลอยมาติดเพดานอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้า
ตอนนั้นเราใจหายวูบมาก นึกว่าหนังเรื่อง อิท แต่ดีที่ลูกโป่งไม่เป็นสีแดง สุดท้ายเราเลยรวบรวมความกล้าออกไปดู(เพราะอยากรู้555) แต่ก็ไม่เจออะไร มีแค่ลูกโป่งที่ลอยมาจากไหนไม่รู้มาติด แต่ประเด็นคือ งง มาก เพราะมันเป็นลูกโป่งอัดแก๊ส ปกติมันต้องลอยขึ้นฟ้าไปสิ แต่นี้ลอยต่ำลงมาติดเพดานด้านล่างได้ไง งง มาก (สงสัยจะโดนแล้วล่ะ 555)
บางคืนก็มีลูกค้ามาแจ้งว่าได้ยินเสียงเหมือนมีแมวชอบมาเดินตรงทางเดินแล้วได้ยินเสียงคล้ายๆเสียงกระดิ่งปลอกคอแมว(ดังกริ้งๆ) แต่ประเด็นคือที่ โรงแรมเราไม่มีแมวไง!!(เอาแล้วไงทีนี้แล้วแมวใครล่ะ) ทางเข้าโรงแรมก็มีทางเดียว คือทางที่เรานั่งเฝ้าอยู่ ถ้ามีแมวเข้ามาเราต้องเห็นแน่นอน และที่สำคัญประตูก็ไม่ได้เปิดไว้ตลอดเวลาแต่กลับปิดไว้ตลอดเวลาด้วยซ้ำ แล้วเสียงอะไรละที่ดังกริ้งๆตามทางเดิน (ก็ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย) สุดท้ายก็ต้องทำใจดีสู้เสือ คิดแค่ว่าเดี๋ยวก็เช้าแล้ว
ส่วนเรื่องปัญหาต่างๆที่เกี่ยวกับเพื่อนร่วมงาน หรือเรื่องลูกค้า อันนี้เราเจอจนชินละ จนกลายเป็นคนปล่อยวางไปแล้ว (บางครั้งลูกค้าก็น่ากลัวกว่าสิ่งลี้ลับนะ555 หยอกๆๆ)
เป็นเรื่องเห็นกันจนชินตาสำหรับพนักงานรอบดึกอย่างเราๆ ก็เข้าใจนะว่าแขกที่มาพักส่วนใหญ่มาเพื่อพักผ่อน มาเพื่อหาความสุข แต่บางครั้งความสุขก็มีความทุกข์ปนมาด้วย (พูดแล้วอยากจะร้องไห้) เรื่องราวนี้เกิดขึ้นเมื่อกลางดึก เวลาประมาณตี 1 กว่าๆ บรรยากาศก็เงียบๆ อากาศเย็นๆ ชวนให้หลับเสียจริงๆ แต่ยังไม่ทันจะเคลิ้มเลย ก็เห็นว่ามีแขกเดินโซเซเข้ามาพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่ง (สงสัยจะดื่มมาหนัก)ผมก็เลยเดินไปเปิดประตูให้ ทั้งคู่ก็ยิ้มทักทายผม แล้วก็พากันขึ้นห้องไป ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมากเพราะคิดว่านี่คือเรื่องปกติ
จากนั้นผมก็เดินมานั่งพักที่เก้าอี้ (กะกว่าจะแอบงีบสักหน่อย) เพราะเวลานั้นไม่ค่อยมีแขกแล้ว นั่งได้ไม่ถึง 10 นาที เจ้าพระคุณเอ้ยยยย (กำลังจะเคลิ้มเลย) ก็ได้ยินเสียงดังโวยวายมาจากด้านบน ผลปรากฏว่า ฝ่ายชายซึ่งเป็นแขกของโรงแรม (คนที่หิ้วเด็กไปเมื่อสักครู่นี่แหละ) ฉุดกระชากลากถูผู้หญิงที่เขาพามาด้วยออกมาจากลิฟต์ และมีปากเสียงกัน ผมเห็นท่าไม่ดีก็เข้าไปห้าม แขกก็โวยวายว่า เขาไม่ใช่ผู้หญิง ผมไม่ต้องการเขา คุณช่วยไล่เขาออกไปที ผู้หญิงคนนั้นก็ตอบกลับมาว่า ฉันไปแน่แต่คุณต้องจ่ายค่าตัวฉันมาก่อน ไม่อย่างนั้นมีเรื่องแน่ (ซวยแล้วไง ทำไมต้องเป็นตูด้วย) ทางฝ่ายชายก็ไม่ยอมจ่าย โดยให้เหตุผลว่าเขาไม่ใช่ผู้หญิง และผมก็ไม่ได้ทำอะไรเขาด้วย และทั้งคู่ก็ทะเลาะกันเสียงดัง ฝ่ายนึงต้องการค่าจ้างที่ตกลงกันไว้ ส่วนอีกฝ่ายก็ไม่ยอมจ่าย
จนสุดท้ายผมและรปภ. ต้องเชิญทั้งสองคนออกมาไม่ให้ส่งเสียงดังไปรบกวนแขกท่านอื่น เพราะทะเลาะกันเสียงดัง และอธิบายว่าการค้าประเวณีเป็นสิ่งผิดกฏหมายของประเทศไทย และหากทั้งสองคนไม่สามารถตกลงกันได้ด้วยดี หากเรื่องนี้ไปถึงตำรวจทั้งสองคนก็จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย เรื่องนี้คุณต้องไปตกลงกันข้างนอก ไม่สามารถมามีเรื่องกันที่นี่ เพราะเป็นการรบกวนแขกท่านอื่น หลังจากยกตัวบทกฎหมายมาทั้งคู่ก็คุยกันได้อย่างสันติ โดยที่ผมไม่ต้องไปข้องเกี่ยวด้วย
การนอนหลับไม่เพียงพอ หรือ นอนหลับมากจนเกินไป ไม่มีแบบไหนที่ส่งผลดีต่อสุขภาพทั้งนั้น เพราะพฤติกรรมการนอนทั้ง 2 แบบมีแต่จะสร้างผลร้ายและทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมามากมาย
การนอนที่ถูกต้องตามหลักสากลคือ นอนให้ครบ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน แต่ในกลุ่มคนที่ชอบนอนดึก หรือนอนไม่หลับ จนกลายเป็นคนนอนน้อยและร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนมากมาย เช่นเดียวกับกลุ่มคนที่นอนมากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งการนอนมากเกินไปก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพไม่ต่างกัน
โรคและอาการที่เป็นผลกระทบมาจากการนอนหลับจะส่งสัญญาณไม่มากนักในช่วงแรก แต่ผู้ป่วยจะเริ่มเกิดความผิดปกติเกี่ยวกับระบบการนอน เช่น จากที่เคยเป็นคนตื่นเช้า ก็อาจกลายเป็นตื่นสายขึ้น หรือนอนไม่หลับตอนกลางคืน แต่ไปหลับเอาช่วงสายแทน และสิ่งที่ตามมาก็คือ อาการของร่างกายที่เริ่มมีความผิดปกติ เช่น จากที่ไม่เคยมีอาการปวดหัว ก็อาจจะเริ่มปวดมากขึ้น และลุกลามกลายเป็นโรคไมเกรนในเวลาต่อมา เราสามารถแบ่งกลุ่มผู้ป่วยโรคต่างๆ ที่มีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการนอนหลับได้ 2 กลุ่มด้วยกันคือ
ด้วยวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่มีปัจจัยรอบตัวทำให้ต้องนอนดึกอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นงานที่ทำ การอ่านหนังสือสอบให้ทัน การปาร์ตี้งานเลี้ยงยามค่ำคืน เมื่อร่างกายเริ่มพักผ่อนไม่เพียงพอจนสะสมไปหลายวัน ก็จะก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา โดยอาการเริ่มต้นอาจเป็นการนอนตื่นสาย มีกลิ่นตัวแรง รู้สึกหงุดหงิดและเครียดง่ายขึ้น ก่อนที่อาการอีกอย่างจะตามมาคือ มีอาการนอนไม่หลับเรื้อรัง เพราะร่างกายและสมองนั้นเคยชินกับการนอนดึกไปแล้ว และส่งผลให้เกิดโรคต่างๆ ตามมาอีกมากมาย เช่น
เป็นโรคยอดฮิตของคนที่ใช้ชีวิตแบบสมัยใหม่ที่นอนดึก แต่ต้องตื่นเช้าไปทำงานหรือไปเรียน จนกินอาหารเช้าไม่ทันและต้องเปลี่ยนไปกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์แต่ใช้เวลาปรุงเร็วแทน เช่น อาหารสำเร็จรูป อาหารจังค์ฟู้ด นอกจากนี้ยังไม่เคยออกกำลังกาย จนทำให้เกิดความเสื่อมของระบบภายใน โดยเฉพาะส่วนลำไส้ จนกลายเป็นโรคลำไส้อักเสบและลุกลามจนกลายเป็นมะเร็งลำไส้ไปในที่สุด
สารโปรตีนในร่างกายจะสะสมมากขึ้นที่หัวใจในเวลาที่เราตื่นโดยธรรมชาติ แต่ถ้าเราไม่นอน หรือนอนดึกเกินไป สารโปรตีนเหล่านี้ก็จะยิ่งเข้าไปเกาะที่หลอดเลือดหัวใจ จนทำให้เกิดการอุดตัน และทำให้ความดันเลือดสูงขึ้น
ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่นอนไม่พอ จะทำให้ระดับน้ำตาลกลูโคสและอินซูลินในเลือดเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจเกิดภาวะดื้ออินซูลินได้จากการนอนพักผ่อนไม่เพียงพอด้วย
เมื่อร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็เหมือนกับเครื่องจักรที่ทำงานนานๆ โดยไม่ได้หยุดพัก จึงสามารถเกิดการรวนจนทำงานผิดปกติได้ โดยจะเริ่มจากระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ และทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารย่อยไม่ดี และการถ่ายอุจจาระไม่เป็นปกติ ผู้ป่วยบางรายอาจท้องเสียและท้องผูกสลับกันอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ซึ่งความจริงแล้ว นั่นเป็นเพราะว่ากระเพาะอาหารเกิดการล้า จึงทำให้ย่อยอาหารได้ไม่ดีเท่าที่ควรนั่นเอง
ผู้ป่วยโรคนี้หลายรายอาจต้องใช้เวลาเกินกว่า 30 นาทีถึงจะสามารถหลับได้ หรืออาจจะหลับๆ ตื่นๆ ทั้งคืน จากนั้นก็ไม่สามารถหลับต่อได้อีก และโรคนอนไม่หลับเรื้อรัง ยังส่งผลต่อการเข้าห้องน้ำบ่อยทั้งคืนด้วย เพราะร่างกายจะต้องการดูดซับน้ำมากกว่าคนปกติ ซึ่งอาการนี้จะต้องเกิดขึ้นเกิน 1 เดือน ถึงจะเรียกว่าการนอนไม่หลับแบบเรื้อรัง
เพราะการนอนไม่หลับจะทำให้การหลั่งของฮอร์โมน "เทสโทสเทอโรน" (Testosterone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศที่สำคัญต่ำลง ซึ่งทำให้ความต้องการทางเพศลดต่ำลงไปด้วย
เพราะการพักผ่อนไม่เพียงพอจะส่งผลกระทบทำให้ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลียเมื่อตื่นเช้า รู้สึกไม่กระปรี้กระเปร่าจนหงุดหงิดง่าย อารมณ์เสียง่ายกว่าปกติ และยังทำให้การตัดสินใจต่างๆ ผิดพลาดไปด้วย เนื่องจากสมองพักผ่อนไม่เพียงพอ
1. พยายามกำหนดเวลานอนให้เป็นเวลา ระหว่างที่นอนให้ปล่อยสมองให้โล่ง หยุดคิดเรื่องราวต่างๆ เพื่อให้ร่างกายหลับได้เร็วขึ้น
2. งดดื่มชา กาแฟ และอาหารต่างๆ ที่มีส่วนผสมของสารซึ่งสามารถกระตุ้นสมองได้ก่อนนอน ปรับการกินอาหารแต่ละมื้อให้ตรงเวลามากขึ้น กินผักผลไม้และอาหารที่มีประโยชน์ให้มากๆ และหลีกเลี่ยงการกินอาหารหนัก หรือกินเนื้อสัตว์ในปริมาณมากก่อนนอน เพราะจะยิ่งทำให้อึดอัดท้อง จนทำให้นอนไม่หลับ
3. ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายได้ขับเหงื่อ ทำให้สมองปลอดโปร่งมากขึ้น และยังทำให้นอนหลับได้เร็วขึ้นด้วย
4. งดเล่นคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตก่อนนอน ปิดไฟทำห้องนอนให้เงียบและมืด เพื่อให้บรรยากาศรอบตัวน่านอนมากขึ้น
5. เลือกเตียงและฟูกนอนที่เป็นมาตรฐาน นอนสบาย ไม่แข็งและนุ่มจนเกินไป พร้อมทั้งหาหมอนที่รองรับศีรษะได้พอดีด้วย
เราสามารถเรียกพฤติกรรมการนอนมากเกินไปได้อีกชื่อคือ "โรคนอนเกิน" (Hypersomnia) หรือโรคขี้เซา ผู้ป่วยโรคนี้จะมีอาการนอนหลับเกินพอดี โดยจำนวนชั่วโมงการนอนจะมากกว่า 8 ชั่วโมงขึ้นไป และจะไม่รู้สึกว่านอนเท่าไรจึงจะเพียงพอ อีกทั้งจะมีอาการเฉื่อยชา ไร้ชีวิตชีวา กินน้อยแต่อ้วนง่าย เพราะการนอนจะทำให้กระเพาะอาหารไม่ทำงาน จึงทำให้อาหารไม่ย่อยและเกิดเป็นไขมันสะสมตามร่างกาย นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคนอนเกินยังอาการของโรคอื่นๆ ตามมาได้อีก ดังนี้
การนอนมากเกินไปจะทำให้สมองเฉื่อยชา ผู้ป่วยจะกลายเป็นคนที่คิดอะไรไม่ออก การประมวลผลต่างๆ ช้าลงกว่าเดิม กลายเป็นคนไร้ชีวิตชีวา ขยับตัวน้อยลง และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนได้
น้ำหนักที่เกินเกณฑ์จะส่งผลให้ผู้ป่วยเป็นโรคอื่นๆ ตามมาอีกมากมายทั้ง โรคหัวใจ ความดันโลหิต โรคเบาหวาน และต่อให้ผู้ป่วยกินน้อย แต่หากยังคงมีพฤติกรรมนอนมากเกินไปอยู่ก็สามารถอ้วนได้ เพราะกระเพาะอาหารไม่ค่อยได้ทำงานนั่นเอง
ร่างกายของผู้ป่วยโรคนอนเกินจะมีการหลั่งสารเอนดอร์ฟิน (Endorphins) และสารซีโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขน้อยลง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอารมณ์แปรปรวนง่าย รู้สึกว่าชีวิตไม่มีความสุข และอาจคิดอยากฆ่าตัวตายได้ด้วย
ผู้หญิงที่นอนในระยะเวลา 7-8 ชั่วโมงต่อวัน จะมีโอกาสตั้งครรภ์ได้มากกว่าผู้หญิงที่นอนนานเกินวันละ 9 ชั่วโมง เพราะฮอร์โมนและรอบเดือนของผู้หญิงจะเป็นปกติก็ต่อเมื่อต้องได้รับการพักผ่อนที่พอดีเท่านั้น
เพราะผู้ที่นอนมากเกินไปจะหลับง่าย และใช้เวลานาน ทำให้ร่างกายไม่ค่อยได้ขยับตัวหรือออกกำลังกายใดๆ ร่างกายจึงไม่สามารถเพิ่มออกซิเจนแก่อวัยวะภายในได้ และเป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิตได้ง่าย
สาเหตุนี้เกิดจากการดับไปของสัญญาณสมอง ทำให้เนื้อสมองตาย ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากการนอนนานมากเกินไป
1. พยายามกำหนดเวลานอนให้เป็นเวลา ระหว่างที่นอนให้ปล่อยสมองให้โล่ง หยุดคิดเรื่องราวต่างๆ เพื่อให้ร่างกายหลับได้เร็วขึ้น
2. งดดื่มชา กาแฟ และอาหารต่างๆ ที่มีส่วนผสมของสารซึ่งสามารถกระตุ้นสมองได้ก่อนนอน ปรับการกินอาหารแต่ละมื้อให้ตรงเวลามากขึ้น กินผักผลไม้และอาหารที่มีประโยชน์ให้มากๆ และหลีกเลี่ยงการกินอาหารหนัก หรือกินเนื้อสัตว์ในปริมาณมากก่อนนอน เพราะจะยิ่งทำให้อึดอัดท้อง จนทำให้นอนไม่หลับ
3. ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายได้ขับเหงื่อ ทำให้สมองปลอดโปร่งมากขึ้น และยังทำให้นอนหลับได้เร็วขึ้นด้วย
4. งดเล่นคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตก่อนนอน ปิดไฟทำห้องนอนให้เงียบและมืด เพื่อให้บรรยากาศรอบตัวน่านอนมากขึ้น
5. เลือกเตียงและฟูกนอนที่เป็นมาตรฐาน นอนสบาย ไม่แข็งและนุ่มจนเกินไป พร้อมทั้งหาหมอนที่รองรับศีรษะได้พอดีด้วย
ห้ามน้อยหรือมากกว่านี้ และควรกำหนดเวลานอนกับเวลาตื่นที่ตรงเวลาด้วย โดยเวลานอนที่ดีควรจะนอนก่อน 4 ทุ่ม แล้วตื่นประมาณตี 5-6 โมงเช้า เพียงเท่านี้ ร่างกายก็จะมีการปรับตัวกับพฤติกรรมการนอนแบบใหม่ และมีความกระปรี้กระเปร่าเตรียมรับเช้าวันใหม่อย่างสดชื่นได้อีกครั้ง
ไม่ว่าจะทำงานหรือเรียนหนักแค่ไหน ให้พยายามอาบน้ำก่อนนอนทุกครั้ง เพราะจะทำให้เรารู้สึกสบายใจตัว ไม่เหนียวตัวจากคราบเหงื่อไคลที่ต้องเจอมาตลอดทั้งวัน จนทำให้รู้สึกนอนไม่หลับได้
หรือถ้านอนกลางวันก็ไม่ควรนอนนานเกิน 1 ชั่วโมง เพราะอาจทำให้นอนไม่หลับอีกในเวลากลางคืน
มีความตรงต่อเวลาและสม่ำเสมอในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น เวลาตื่น เวลากินข้าว เวลาออกกำลังกาย เวลาอาบน้ำ เวลานอน หลายคนอาจเรียกเวลาเหล่านี้ว่า "นาฬิกาชีวิต" เมื่อทุกอย่างเป็นไปอย่างมีระเบียบ สุขภาพกายและใจก็จะดีขึ้นโดยทันตาเห็น
โดยเฉพาะผู้ป่วยรายที่มีอาการนอนไม่หลับเรื้อรัง เพราะผู้ป่วยควรที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอนด้วยตนเอง ซึ่งเป็นการแก้ไขที่ต้นเหตุ ไม่ใช่แก้ที่ปลายเหตุด้วยการกินยา อีกทั้งการปรับพฤติกรรมการนอนใหม่ด้วยตนเอง จะทำให้ผู้ป่วยมีการนอนหลับที่ดีในระยะยาวด้วย เพราะหากผู้ป่วยนอนหลับโดยใช้ยา ก็จะต้องใช้ไปเรื่อยๆ ไม่มีวันหยุด หรือผู้ป่วยอาจมีอาการติดยาจนต้องเพิ่มปริมาณยาขึ้นเรื่อยๆ ส่วนผู้ป่วยรายที่นอนเยอะเกินไป ก็ไม่ควรใช้ยากระตุ้นประสาทเพื่อให้ไม่หลับหรือปลุกให้ตนเองตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะพฤติกรรมเหล่านี้อาจทำให้เกิดอาการหลอน และกลายมาเป็นอาการทางจิตหรือประสาทไปในที่สุด
การปรับเวลาการนอนให้เหมาะสมและเข้ากับวิถีชีวิตในปัจจุบันอาจเป็นไปได้ยาก แต่เราทุกคนต้องอย่าลืมว่าการนอนก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ร่างกายของเรามีสุขภาพแข็งแรง สมองที่ใช้งานมาทั้งวันก็จะได้มีการพักผ่อน อวัยวะภายในที่ทำงานหนักมาทั้งวันก็จะได้ผ่อนคลายและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องเล็งเห็นความสำคัญของเวลานอนที่ดี และหาเวลานอนพักผ่อนให้เพียงพอให้ได้ หากมีปัจจัยต่างๆ เช่น เรื่องงาน ภาระต่างๆ ในบ้านที่อาจทำให้เราต้องนอนดึกขึ้น ขอให้เรามองดูสุขภาพของตนเอง เวลาว่างที่มี ภาระต่างๆ ที่ต้องทำ กับพฤติกรรมการนอนที่เป็นอยู่ควบคู่กันไป แล้วปรับตัวกับเวลาในการนอนหลับเข้ากับปัจจัยเหล่านั้น บางทีคุณอาจได้นาฬิกาชีวิตที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตของตนเอง และไม่กระทบต่อสุขภาพของคุณด้วย
หลายคนนอนน้อย หลายคนนอนดึก ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย รู้สึกไม่สดชื่น นั่นเป็นเพราะร่างกายของคุณเข้าสู่ภาวะพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งหากบางครั้งคุณหลีกเลี่ยงการนอนดึกไม่ได้ ฉะนั้นมาดูวิธีที่ช่วยฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาสดชื่นและตื่นตัวด้วยการทานอาหารทั้ง 6 ประเภท ดังต่อไปนี้
สำหรับถั่วเหลืองจะช่วยในเรื่องของความจำ ป้องกันความจำเสื่อม ช่วยให้มีสมาธิที่ดีขึ้น นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยโปรตีนและแร่ธาตุค่อนข้างสูง สามารถเติมเต็มการทำงานของระบบประสาทและสมองในวันที่ร่างกายอ่อนล้าหรือนอนไม่เพียงพอได้เป็นอย่างดี
โดยปกติแล้วสมองมักต้องการโอเมกาจากปลาหรือน้ำมันปลา เพราะมันช่วยทำให้สมองได้รับสารอาหารเพื่อไปบำรุงซ่อมแซมร่างกาย ทดแทนพลังงานที่สูญเสียไป ทำให้สมองเกิดการตื่นตัวถึงแม้ก่อนหน้านี้จะได้รับการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอก็ตาม
ในธัญพืชหรือข้าวกล้องงอกนั้นมีกาบา ที่เป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการ โดยกาบานั้นจะช่วยให้สมองที่เบลอ ๆ กลับมาทำงานได้อย่างปกติและมันยังช่วยกระตุ้นระบบประสาทและสมองให้ตื่นตัวและกลับมาทำงานได้อย่างปกติ
วิตามินบีช่วยในเรื่องระบบประสาทและยังช่วยลดอาการอ่อนเพลีย ดูดซึมอาหารในร่างกายได้ดีมากยิ่งขึ้น หากวันไหนที่คุณรู้สึกว่านอนน้อยหรือนอนหลับไม่เพียงพอ เพียงแค่ทานวิตามินบี ก็จะช่วยให้ร่างกายสดชื่นขึ้นมาได้
ให้เน้นโปรตีนสีขาว เช่น เนื้อปลา อกไก่ ไข่ขาว เต้าหู้ เป็นต้น และให้เน้นทานในมื้อเช้าหรือกลางวัน เพื่อให้ร่างกายได้มีพลังงานที่สามารถนำไปใช้ได้ตลอดทั้งวัน ซึ่งอาหารประเภทนี้จะช่วยในเรื่องของการสร้างเคมีในสมองที่จำเป็นในการบำรุงสมองและระบบประสาทสำหรับคนนอนดึกโดยเฉพาะ
ในใบแปะก๊วยมีสารแอนติออกซิแดนซ์ ซึ่งช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็งและยังช่วยการไหลเวียนของเลือดให้ไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น ส่วนใบบัวบกนั้นจะช่วยในเรื่องอาการช้ำในหรือการอักเสบ ซึ่งโดยปกติของคนนอนน้อยมักเสี่ยงต่อการอักเสบบริเวณต่าง ๆ ได้ง่าย การทานน้ำใบบัวบกคั้นสด ๆ ถือเป็นการช่วยลดความเสี่ยงต่อการอักเสบนั้นได้เป็นอย่างดี
ดังนั้นอาหารที่แนะนำมาทั้งหมดนี้สามารถช่วยฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาทำงานอย่างปกติได้ แต่ทางที่ดีควรพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง และทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ รับรองว่าร่างกายของคุณจะอยู่กับคุณไปอีกยาวนาน
วิธีดูแลร่างกายสำหรับคนอดนอน แนะนำจาก พ.ญ.ลลิตา ธีระสิริ แห่งศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี ความว่า ก่อนอื่นต้องยอมรับเสียก่อนว่าคนเราต้องนอนหลับในยามกลางคืน ไม่ใช่กลางวัน เพราะฮอร์โมนในร่างกายถูกธรรมชาติจัดสรรมาอย่างนั้น ในเวลากลางวันเมื่อมีแสงสว่าง ต่อมไพเนียล หรือต่อมเหนือสมอง จะหลั่งฮอร์โมนซีโรโตนินออกมาเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่ากระฉับ กระเฉงเพื่อกิจกรรมดำเนินในยามกลางวัน
ราวๆ 4-5 โมงเย็น ตอนแสงสว่างลดลง ซีโรโตนินก็จะลดระดับลงเพื่อเตรียมให้ร่างกายได้พัก ในขณะเดียวกันต่อมไพเนียลก็หลั่งฮอร์โมนอีกชนิดหนึ่งชื่อเมลาโตนินออกมา ระดับเมลาโตนินในร่างกายจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ง่วงนอนในกลางคืน พอถึงประมาณตี 2 เมลาโตนินจะเริ่มลดระดับลง และซีโรโตนินก็จะถูกหลั่งออกมาในยามเช้ามืด พอดีเช้าเมลาโตนินหายไป ซีโรโตนินเพิ่มขึ้นมาได้ระดับเราก็ตื่นพอดี หากอดนอนก็เท่ากับฝืนวัฏจักรของฮอร์โมนตามธรรมชาตินี้ และว่ากันว่าทำให้ร่างกายเสียสมดุลและทำให้ป่วยได้ง่าย
ข้อความปฏิบัติสำหรับคนนอนดึก มีดังนี้
เพราะเวลาอดนอนระดับฮอร์โมนจากต่อมไพเนียลปั่นป่วน ทำให้เกิดความเครียดแบบลึกๆ จึงต้องแก้ด้วยวิตามินคลายเครียดประเภทบีและซีปริมาณมาก ดังนั้นในระยะนี้ต้องกินข้าวกล้อง กินผัก ผลไม้ กินน้ำผลไม้คั้นสด น้ำส้มคั้นสดๆ หากกินอาหารประเภทดังกล่าวไม่ได้ ให้ใช้วิตามินบี 100 วันละ 1 เม็ด และกินวิตามินซี 1,000 ม.ก. วันละ 2 เม็ด หลังอาหารเช้า
เพราะส่วนอาหารที่เรากินเข้าไปจะใช้ได้ประมาณ 6 ช.ม.เท่านั้น หากกินอาหารเย็น 6 โมง ถึงเที่ยงคืนพลังงานก็หมดแล้ว จะต้องเติมอาหารที่ให้พลังงานเข้าไป ทั้งนี้ ควรเป็นอาหารที่ย่อยง่ายประเภทข้าวต้ม โจ๊ก น้ำข้าว ธัญพืช จะดีกว่าอาหารที่มีไขมันสูงอย่างนมวัว หรือเครื่องดื่มประเภทโกโก้ หรือมอลต์ เนื่องจากเวลาที่จะนอนมีน้อยอยู่แล้วไม่ควรกวนกระเพาะให้ย่อยอะไรที่ย่อยยาก เพราะจะทำให้หลับไม่สนิทดีนัก และมีอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตที่ทำให้หลับง่ายกว่า เช่น ข้าวเหนียว กล้วย หากเลือกกินยามดึกได้จะทำให้นอนเร็วกว่า
หลังจากเสร็จจากดูบอล หรือดูหนังสือ ไม่ควรเสียเวลาออกไปหาข้าวต้มรอบดึกกินนอกบ้านเพราะจะยิ่งมีเวลานอนน้อย และควรระลึกไว้ว่าน่าจะมีเวลานอนติดกันประมาณ 4 ชั่วโมง สุขภาพจึงจะไม่เสื่อมทรุดในระยะนี้ ถ้าต้องนอนตี 3 ก็แปลว่าควรจะตื่นตอน 7 โมงเช้าจึงจะดี
เพราะกาแฟมีฤทธิ์ 6-8 ชั่วโมง หากกินกาแฟตอน 4 ทุ่มก็แปลว่าจะหลับได้เอาตอนตี 4 ซึ่งจะทำให้เวลาพักผ่อนไม่พอ หากง่วงก็ควรงีบหลับก่อนแล้วค่อยตื่นมาดูหนังสือหรือดูโทรทัศน์เอาตอนดึก
หลังจากต้องตื่นเช้าจากอดนอน ดังที่ได้กล่าวแล้ว หรือจะใช้โสมกินร่วมด้วยก็ดีกว่าดื่มกาแฟ เพราะการใช้วิตามินกับโสมจะทำให้สมองปลอดโปร่งกว่ากินกาแฟ
พนักงานโรงแรมส่วนใหญ่ก็จะมีการทำงานแบบวนกะ เช้า บ่าย ดึก สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป โดยเวลาที่ต้องทำงานในช่วงกลางคืนนั้น เราอาจไม่ได้พบเจอคนมากมายเท่าไร แถมยังอาจจะต้องเสียสุขภาพไปบ้างเพราะ ความแปรปรวนของเวลา แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อเสียอย่างเดียว ข้อดีของคนทำงานกะดึกก็มีนะ
การเดินทางสะดวกมาทำงานง่ายกว่าช่วงเช้า เพราะรถไม่ติด ถนนก็จะโล่งๆ จะมีก็แต่เพื่อนร่วมทางที่ทำงานกะเดียวกัน ดังนั้นการเดินทางก็จะสะดวกสบายราบรื่นดี สามารถไปทำงานได้แบบชิวชิว
สำหรับช่วงเวลาที่เงียบสงัด สุดจัดปลัดไม่ได้บอกนั้น เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด ที่จะต้องเคลียงานเคลียเอกสารต่างๆ ของวันนั้นๆให้เรียบร้อย
คนที่ทำงานกะดึกจะต้องมีความมั่นใจในการทำงาน กล้าคิดกล้าตัดสินใจ อีกทั้งยังได้ฝึกทักษะการแก้ปัญหาต่างๆ ที่ต้องพบเจออีกด้วย ทำให้คุณมีทักษะในการทำงานเพิ่มมากขึ้น
แน่นอนอยู่แล้ว สำหรับใครที่อยู่กะดึก ก็ตัดปัญหาเรื่องความร้อนออกไปเลย เพราะอากาศในช่วงเวลากลางคืนนั้นจะเย็นสบาย ไม่แออัดเหมือนในช่วงเวลากลางวัน
มันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก สำหรับคนไม่ชอบตื่นเช้า เพราะทำงานกะดึก มันไม่ต้องเร่งรีบอะไร ไม่ต้องไปแข่งขันแย่งรถติด แย่งรถไฟฟ้า แย่งการเดินทาง แข่งกันทำเวลาต่างๆ นานา ส่วนในเรื่องอาหารนะหรอ ทางโรงแรมเขามีให้ฟรีจ้า
เพราะช่วงเวลางานของกะดึกก็จะเหลือพนักงานเพียงไม่กี่คน และบรรยากาศตอนกลางคืนช่างเงียบเหงา เพราะฉะนั้นเรามักจะหาเรื่องคุย เรื่องเล่า กันบ่อยครั้งช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ที่ทำให้เพื่อนๆพี่ๆพนักงานสนิทกันมากยิ่งขึ้นอีกด้วย